อดีตรองปธ.ลูกยางยากูโซ่ฯเสียรู้รุ่นน้องคนสนิท ให้มาอยู่บ้านนานแรมปี แต่อาศัยจังหวะไม่อยู่ เข้าไปขโมยทรัพย์สินมีค่าและเงินสดกว่า 200,000 บาท ก่อนจะพลิกลิ้นถูกบังคับให้สารภาพ ทั้งที่หลักฐานพร้อม เจ้าตัวกลัวคดีคืบช้า เพราะฝั่งคู่กรณีเป็นลูกอดีตข้าราชการใหญ่ แต่อยากให้มาเคลียร์ให้จบมากกว่า
วันนี้ (21 ม.ค. 65) นายชลาษา พันธะเกษมกุล อดีตรองประธานสโมสรวอลเลย์บอล ยากูโซ่ ราชมงคลธัญบุรี วีซี แห่งศึกไทยแลนด์ลีก ถึงคราวเคราะห์ร้าย หลังรุ่นน้องคนสนิท ที่มาขอพักอาศัยอยู่ที่บ้านแรมปี ที่หมู่บ้านเพอร์เฟค เพลส รามอินทรา-วงแหวน ขโมยทรัพย์สินมีค่า ประกอบด้วย สร้อยคอทองคำ หนัก 1 บาท จำนวน 3 เส้น และ เงินสดอีก 100,000 บาท ก่อนจะมายอมรับสารภาพผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ โดยนำเงินไปใช้หมดแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นมีการแจ้งความดำเนินคดี และมีการยอมรับข้อกล่าวหา พร้อมขอเวลาเผื่อหาเงินคืน ก่อนจะคืนมาแล้วจำนวน 48,000 บาท ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนคำให้การณ์ในภายหลังว่าถูก นายชลาษา บังคับขู่เข็ญให้พิมพ์ข้อความสารภาพ จึงทำให้คดีชะงักมาจนถึงตอนนี้ นอกจากนี้ผู้เสียหายยังหวั่นคดีจะไม่คืบเนื่องด้วย รุ่นน้องรายนี้มีพ่อเป็นอดีตข้าราชการทหารยศใหญ่ระดับนายพล
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 65 ก่อนที่นายชลาษา จะเข้าแจ้งความ สน.คันนายาว ราวๆต้นเดือน ต.ค. 65 โดยมี พ.ต.ต.ภูวเดช วณิชโยบล เป็นผู้รับแจ้ง ซึ่งได้มีการออกหมายเรียกรุ่นน้องเข้ามาให้ปากคำ แต่ก็ไม่มาตามหมายเรียกครั้งแรก ก่อนจะมาในครั้งที่ 2 พร้อมกับแม่ของเจ้าตัว เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 65 โดยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ไม่ขอเจรจา และกล่าวว่าโดนบังคับให้พิมพ์ข้อความในลักษณะนั้นโดยที่ตนไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด
นายชลาษา วัย 33 ปี กล่าวกับผู้สื่อข่าว TNN ช่อง 16 ว่า “รู้จักกับรุ่นน้องคนนี้ผ่านสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง เมื่อปี 2020 ก่อนที่รุ่นน้องคนนี้จะขอฝากตัวเป็นน้องชาย จึงทำให้เกิดความสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกลางปี 2021 ราวๆเดือน ก.ค. รุ่นน้องคนนี้โทรมาร้องไห้ บอกว่ามีปัญหากับที่บ้าน และมีปัญหาชีวิต จึงขอมาอาศัยอยู่ที่บ้านด้วย 2-3 วัน หลังจากนั้นกลับบ้านไป ก่อนที่อีก 3-4 วันให้หลังจะโผล่มาหน้าบ้าน ร้องไห้ และขอมาอยู่ด้วยอีกครั้ง โดยอ้างสารพัดปัญหา โดยเห็นว่าเป็นเด็กที่ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไร จึงให้อยู่ไปเรื่อยๆมาจนแรมปี”
“โดยช่วงที่อาศัยอยู่ที่บ้านก็มีพฤติกรรมปกติ ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายน้ำ-ไฟ ตามปกติ แต่ก็ไม่ออกไปหางานทำ โดยบอกว่ามีเงินที่พ่อกับแม่ให้ใช้อยู่แล้วทุกเดือน ส่วนใหญ่แล้วก็จะอยู่ที่บ้านประมาณ 25 วัน ต่อเดือน จนไว้ใจ ทราบที่เก็บกุญแจบ้านกันเป็นอย่างดี และหลังจากนั้นก็เหมือนกลายมาเป็นอีกหนึ่งสมาชิกของบ้าน ร่วมกับตนและแฟน”
“กระทั่งเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 65 รุ่นน้องคนนี้มีการไลน์มาบอกว่า มีเรื่องจะคุย ทั้งที่ยังอยู่ในบ้าน ก่อนจะพิมพ์มาว่าได้ขโมยทรัพย์สินไปและนำเงินไปใช้หมดแล้ว ตนรู้สึกตัวชา และอึ้ง พร้อมทั้งถามว่า อำหรือเปล่า ? ก่อนจะเดินไปตรวจสอบทรัพย์สิน ปรากฏว่าหายไปจริง จึงรวบรวมสติ ก่อนจะเดินไปถามที่รุ่นน้อง ว่าจะเอาอย่างไร ? โดยได้คำตอบมาว่า ขอโอกาส ยอมรับว่ากระทำผิด ขออย่าแจ้งความดำเนินคดี จะชดใช้ให้ภายในเดือน พ.ย. 65 ทำให้ตนรู้สึกอึ้ง เพราะขณะนั้นยังทำหน้าที่เป็น รองประธานสโมสรวอลเลย์บอลอยู่ ซึ่งเงินตรงนี้เป็นเงินสำรองไว้สำหรับค่าใช้จ่ายภายในทีม ก่อนจะมีการไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน”
“ต่อมามีการใช้หนี้เข้ามาจำนวน 48,000 บาท ในระหว่างวันที่ 21-22 ต.ค. 65 ซึ่งออกจากบ้านไปแล้ว โดยเป็นการแบ่งโอน ตนก็ไปบันทึกประจำวันเพิ่มเติมว่าได้รับเงินคืนมาแล้วส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นรุ่นน้องเริ่มมีท่าที่เปลี่ยนไป ไม่ยอมจ่ายหนี้ เอารุ่นพี่มาข่มขู่ จะทำร้ายร่างกาย ให้ยกเลิกหนี้สิน ไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับรุ่นน้องอีก ทำให้ตนเข้าแจ้งความเพิ่มเติมว่าโดนข่มขู่จากบุคคลคนนี้ จึงทำให้รุ่นพี่รายดังกล่าวหายตัวไป ไม่ได้มายุ่งเกี่ยว ทำให้คู่กรณีมาขอเจรจาใหม่ ว่าจะขอชดใช้ให้ทั้งหมดในวันที่ 24 พ.ย. 65 โดยเป็นการคุยกันเองไม่ผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
“จนมาถึง 24 พ.ย. 65 ได้มีการทวงถามเงินที่บอกว่าจะคืน ทางรุ่นน้องได้มีการขอเลื่อนจ่ายเป็นวันที่ 30 พ.ย. 65 แต่พอถึงวันนัด ก็มาขอผ่อนเป็นสามงวด ในระยะเวลาสามเดือน ครั้งละ 40,500 บาท ซึ่งตนไม่ยอม ทำให้ฝั่งรุ่นน้องกลับคำพูดว่า ไม่ขอรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น โดยบอกว่า ตนเป็นคนบังคับให้พิมพ์ข้อความบังคับสารภาพทั้งหมด ท้าทายให้ไปดำเนินคดีความได้เลย คุยข่มว่ามีพ่อเป็นนายพล ทำให้ตนรู้สึกงงว่าจะบังคับได้อย่างไร ? ในเมื่อมีการใช้หนี้เข้ามาและตอนแรกยังมีการมาเจรจาขอผ่อน หลังจากนั้นตนก็ได้เปลี่ยนเป็นประสงค์ดำเนินคดีความ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกหมายเรียกรุ่นน้องรายนี้มาให้การณ์ รอบแรกไม่มา กระทั่งมาในครั้งที่ 2 วันที่ 25 ธ.ค. 65 พร้อมกับแม่ แต่ก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาต่อหน้าเจ้าหน้าที่ และไม่ขอเจรจาใดๆทั้งสิ้น โดยตนปรึกษากับเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ได้ขอหลักฐานทุกอย่าง โดยเฉพาะจากกล้องวงจรปิดของหมู่บ้าน และส่งฟ้องอัยการต่อไป แต่ตนก็กลัวว่าเรื่องจะเงียบ ล่าช้า และไปไม่สุดซอย เพราะรุ่นน้องรายนี้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวขึ้นอย่างน่าตกใจ รวมทั้งมีพ่อเป็นนายพลฯอีกด้วย”
“สุดท้ายตนยังหวังว่า ให้รุ่นน้องรายนี้รับผิดชอบกับสิ่งที่ทำและคืนเงินมาเถอะ เพื่อไม่ให้เป็นการยืดเยื้อ เพราะตนก็มีความจำเป็นต้องใช้เงินเหมือนกัน อยากให้มีความเป็นลูกผู้ชายสักนิด รวมทั้งหวังว่าผู้ปกครองของรุ่นน้องรายนี้จะไม่เข้าข้างลูกชายแบบผิดๆ”